วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560
อาณาจักรอยุธยา
กรุงศรีอยุธยาก่อกำเนิดขึ้นเป็น ราชธานีในปี พ.ศ.1893 แต่มีข้อถกเถียงกันมากว่า การถือกำเนิดของกรุง ศรีอยุธยานั้น มิได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนเสียทีเดียว มีหลักฐานว่าก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างเมืองขึ้นที่ตำบลหนอง โสน บริเวณนี้เคยมีผู้คนอาศัยมาก่อนแล้ว วัดสำคัญอย่างวัดมเหยงค์ วัดอโยธยา และวัดใหญ่ชัยมงคล ล้วนเป็นวัดเก่าที่มีมาก่อนสร้างกรุงศรี อยุธยาทั้งสิ้น โดยเฉพาะที่วัดพนัญเชิง วัดที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต พระ พุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่แบบอู่ทอง พงศาวดารเก่าระบุว่า สร้างขึ้นก่อน การสร้างพระนครศรีอยุธยาถึง 26 ปี วัดเหล่านี้ ตั้งอยู่ตามแนวฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก นอก เกาะเมืองอยุธยาที่มีการขุดพบคูเมืองเก่าด้วย ทำให้เชื่อกันว่าบริเวณนี้น่า จะเป็นเมืองเก่าที่มีชื่ออยู่ในศิลาจารึกกรุงสุโขทัยว่า อโยธยาศรีรามเทพ นครอโยธยาศรีรามเทพนคร ปรากฏชื่อเป็นเมืองแฝดละโว้อโยธยา มาตั้งแต่ช่วงราวปี พ.ศ.1700 เป็นต้นมา ครั้นก่อนปี พ.ศ.1900 พระเจ้าอู่ ทองซึ่งครองเมืองอโยธยาอยู่ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของ กษัตริย์ทางฝ่ายสุพรรณภูมิ ซึ่งครองความเป็นใหญ่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่ น้ำเจ้าพระยา อโยธยาและสุพรรณภูมิจึงรวมตัวกันขึ้น โดยอาศัยความ สัมพันธ์ทางเครือญาติ อาณาจักรอยุธยาเป็นราชธานีมาตั้งแต่ 3 เมษายน พ.ศ.1893 จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2310 เป็นเวลายาวนานถึง 417 ปี
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560
เศรษฐกิจสมัยอยุธยา
ความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
การมีแหล่งน้ำจำนวนมาก ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพราะเกิดจากการทับถมของดินตะกอนแม่น้ำ
ซึ่งเหมาะสำหรับการทำนา ทำให้อาณาจักรอยุธยาเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ
นอกจากนี้การมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมกับการค้าขายกับเมืองต่างๆ
ที่อยู่ภายในตามเส้นทางแม่น้ำ และการค้าขายกับภายนอกทางเรือสำเภา
ทำให้เศรษฐกิจอยุธยามีพื้นฐานสำคัญอยู่ที่การเกษตรและการค้ากับต่างประเทศ
ต่อมาได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1.
เศรษฐกิจในสมัยอยุธยาเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพที่ขึ้นอยู่กับเกษตรกรรมเช่นเดียวกับสุโขทัย
พื้นฐานทางเศรษฐกิจของอยุธยาคือการเกษตร
มีวัตถุประสงค์ในการผลิตเพื่อบริโภคภายในอาณาจักรตามลักษณะเศรษฐกิจแบบพอยังชีพ
แต่อาณาจักรอยุธยาได้เปรียบกว่าอาณาจักรสุโขทัยในด้านภูมิศาสตร์
เพราะอาณาจักรอยุธยาตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่ แม่น้ำสำคัญคือ
แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี ซึ่งมีน้ำตลอดปีสำหรับการเพาะปลูก
พืชที่สำคัญคือ ข้าว รองลงมาได้แก่ พริกไทย หมาก มะพร้าว อ้อย ฝ้าย
ไม้ผลและพืชไร่อื่นๆ ลักษณะการผลิตยังใช้แรงงานคนและแรงงานสัตว์เป็นหลัก ด้วยเหตุดังกล่าว
อาณาจักรอยุธยาจึงได้ทำสงครามกับรัฐใกล้เคียงเพื่อครอบครองแหล่งทรัพยากรและกวาดต้อนผู้คนเพื่อนำมาเป็นแรงงานสำคัญของบ้านเมือง
ราชอาณาจักรอยุธยาได้ทำนุบำรุงการเกษตรด้วยการจัดพระราชพิธีต่างๆ
เพื่อให้เป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญชาวนาให้มีกำลังใจ เช่น พระราชพิธีพิรุณศาสตร์
เป็น พิธีขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล พระราชพิธีพืชมงคล
เป็นพิธีการสร้างสิริมงคลให้กับชาวนาและแจกพันธุ์ข้าว เป็น
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็น
พิธีลงมือจรดคันไถเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นการเตือนว่าถึงเวลาทำนาแล้ว
อาณาจักรอยุธยาไม่ได้สร้างระบบการชลประทานเพื่อส่งเสริมการเกษตร
เนื่องจากมีแหล่งน้ำเพียงพอ ส่วนการขุดคลองทำขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางการคมนาคม
เพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ และการระบายน้ำตอนหน้าน้ำเท่านั้น
แม้ว่าอาณาจักรอยุธยา
การเพาะปลูกยังเป็นแบบดั้งเดิมต้องพึ่งพาแรงงานคนและธรรมชาติเป็นหลัก แต่สภาพภูมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์
ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีเหลือเป็นจำนวนมาก
ผลผลิตทางการเกษตรเป็นสินค้าที่นำไปขายให้ชาวต่างประเทศ นำรายได้มาสู่อาณาจักร
ดังปรากฏหลักฐานว่าอยุธยาเคยขายหมากให้จีน อินเดีย และโปรตุเกส
ฝ้ายและมะพร้าวให้ญี่ปุ่นและมะละกา ในสมัยอยุธยาตอนปลายได้ขายข้าวให้ฮอลันดา
ฝรั่งเศส มลายู มะละกา ชวา ปัตตาเวีย ลังกา จีน ญี่ปุ่น
การเกษตรจึงเป็นรากฐานสำคัญทางเศรษฐกิจของอยุธยาและมีส่วนในการเสริมสร้างราชอาณาจักร
อยุธยาให้เจริญรุ่งเรืองมาตลอดเวลา 417 ปี
2.
อาณาจักรอยุธยาเป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เนื่องจากทำเลที่ตั้งของอาณาจักรอยุธยาเอื้ออำนวยต่อการค้า กล่าวคือ
ศูนย์กลางอาณาจักรตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสมกับการค้า
ทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร กล่าวคือ กรุงศรีอยุธยามีแม่น้ำล้อมรอบทั้ง 3
ด้าน คือ แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา
ทำให้อยุธยาใช้เส้นทางทางน้ำติดต่อกับแว่นแคว้นที่อยู่ภายในได้สะดวก เช่น สุโขทัย
ล้านนา ล้านช้าง นอกจากนี้ที่ตั้งของราชธานีที่อยู่ไม่ห่างไกลปากน้ำหรือทะเล
ทำให้อยุธยาติดต่อค้าขายทางเรือกับต่างประเทศที่อยู่ห่างไกลได้สะดวก
และเมื่ออาณาจักรมีความเข้มแข็ง สามารถควบคุมการค้ารอบชายฝั่งทะเลอันดามัน
และโดยรอบอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งที่พ่อค้าต่างชาติเดินทางมาค้าขายได้
ทำให้อยุธยาสามารถทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการติดต่อค้าขายระหว่างจีน
ญี่ปุ่นกับพ่อค้าต่างชาติอื่น ๆ กรุงศรีอยุธยาจึงเป็นศูนย์กลางที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทบาทสำคัญของอยุธยาทางการค้ามี
2 ประการ คือ
เป็นแหล่งรวมสินค้าประเภทของป่าที่ต่างชาติต้องการและเป็นศูนย์กลางการค้าส่งผ่าน
คือ กระจายสินค้าจากจีนและอินเดียสู่ดินแดนตอนในของภูมิภาค เช่น ล้านนา ล้านช้าง
และส่งสินค้าจีนไปยังดินแดนต่างๆ ในมหาสมุทรอินเดีย
และรวบรวมสินค้าจากดินแดนตอนในและจากดินแดนต่างๆ ในอินเดียไปขายต่อให้จีน
สินค้าประเภทของป่า
ได้แก่ สัตว์ป่าและผลผลิตจากสัตว์ป่า ไม้ เช่น ไม้ฝาง ไม้กฤษณา ไม้จันทร์หอม
และพืชสมุนไพร เช่น ลูกกระวาน ผลเร่ว กำยาน การบูร เป็นต้น สินค้าเหล่านี้ได้จากดินแดนภายในอาณาจักรอยุธยา
และดินแดนใกล้เคียง ผ่านทางระบบมูลนาย โดยแรงงานไพร่จะเป็นผู้หาแล้วส่งมาเป็น "ส่วย" แทนแรงงานที่จะต้องมาทำงานให้รัฐ
บางส่วนได้มาด้วยการซื้อหาแลกเปลี่ยนกับราษฎรและอาณาจักรเพื่อนบ้าน
แต่ส่วนใหญ่มาจากการเกณฑ์ส่วยจากหัวเมืองภายในอาณาจักร
โดยเฉพาะในรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถที่ปฏิรูปการปกครองหัวเมือง
ทำให้การเกณฑ์ส่วยรัดกุมมากกว่าเดิม และส่วนหนึ่งมาจากเมืองประเทศราชของอยุธยา
นอกจากของป่าแล้ว สินค้าออกยังได้แก่ พริกไทย ดีบุก ตะกั่ว ผ้าฝ้าย และข้าว
ส่วนสินค้าเข้าได้แก่ ผ้าแพร ผ้าลายทอง เครื่องกระเบื้อง ดาบ หอก เกราะ ฯลฯ
![]() |
| (ไม้กฤษณา) |
การค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่เป็นการส่งเรือสำเภาไปค้าขายกับดินแดนต่างๆ
ที่สำคัญคือการค้ากับจีนภายใต้การค้าในระบบบรรณาการ
ที่จีนถือว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของจีน แต่อยุธยาเห็นว่าเป็นประโยชน์ทางการค้า
เพราะทุกครั้งที่เรือของอยุธยาเดินทางไปค้าขายกับจีนจะนำ "ของขวัญ" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากป่า เช่น
นกยูง งาช้าง สัตว์แปลกๆ กฤษณา กำยาน เป็นต้น
เป็นเครื่องราชบรรณาการไปถวายให้จักรพรรรดิจีน ซึ่งจีนจะมอบของตอบแทน เช่น ผ้าไหม
เครื่องลายคราม ซึ่งเป็นสินค้าราคาแพงเป็นการตอบแทน
เรือสินค้าที่นำสินค้าไปค้าขายก็จะถูกละเว้นภาษีและได้รับการอนุญาตให้ค้าขายกับหัวเมืองต่างๆ
ของจีนได้
นอกจากนี้อยุธยายังค้าขายกับหัวเมืองมลายู
ชวา อินเดีย ฟิลิปปินส์ เปอร์เซีย และลังกา
การค้าส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนาง มีการค้าเอกชนบ้างโดยพวกพ่อค้าชาวจีนดำเนินการ
ลักษณะการค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาตอนต้นยังเป็นการค้าแบบเสรี
พ่อค้าต่างชาติยังสามารถค้าขายกับราษฎรได้โดยตรงไม่ต้องผ่านหน่วยงานของรัฐบาล
แต่ก็มีลักษณะการผูกขาดโดยทางอ้อมในระบบมูลนาย
หลังรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่
2
(พ.ศ. 2034-2072) การค้ากับต่างประเทศได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น
เพราะอยุธยาเริ่มมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตก เริ่มตั้งแต่ชาติโปรตุเกสใน พ.ศ. 2054 ต่อมาใน พ.ศ.
2059 อยุธยาได้ทำสัญญาทางพระราชไมตรีทางการค้ากับโปรตุเกส
เป็นฉบับแรกที่อยุธยาทำกับประเทศตะวันตก จากนั้นก็มีชาติฮอลันดา (พ.ศ. 2142) สเปน (พ.ศ. 2141) อังกฤษ
ในรูปบริษัทอินเดียตะวันออก บริษัทการค้าของฮอลันดา เรียกว่า V.O.C. ส่วนบริษัทการค้าของอังกฤษ เรียกว่า E.J.C. และฝรั่งเศสในสมัยพระนารายณ์มหาราช
(พ.ศ. 2199-2231)
![]() |
| (พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) |
การค้ากับต่างประเทศเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
(พ.ศ. 2091-2111) มีการตรากฎหมายหลายฉบับเกี่ยวกับการค้าและจัดระบบผูกขาดทางการค้าให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น
คือ มีการกำหนดสินค้าต้องห้าม
ซึ่งเป็นสินค้าที่รัฐบาลโดยพระคลังสินค้าเท่านั้นที่จะผูกขาดซื้อขาย สินค้าขาเข้า
ได้แก่ ปืนไฟ กระสุนดินดำ และกำมะถัน ส่วนสินค้าขาออก ได้แก่ นอระมาด งาช้าง
ไม้กฤษณา ไม้จันทร์ ไม้หอม และไม้ฝาง ซึ่งต่อมาการค้าผูกขาดของรัฐ
ได้เข้มข้นมากขึ้น สินค้าบางประเภท เช่น ถ้วยชาม ผ้าแดง
ซึ่งเป็นสินค้าในชีวิตประจำวันก็เป็นสินค้าผูกขาดด้วยและมีการจัดตั้ง "พระคลังสินค้า" ให้รับผิดชอบดูแลการค้าผูกขาดของรัฐบาล
พระคลังสินค้าจึงเป็นหน่วยงานสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทยในสมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่
4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในปลายสมัยอยุธยา
"ข้าว" ได้กลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญแทนที่สินค้าจากป่า
เนื่องจากเกิดทุพภิกขภัยอย่างรุนแรงในประเทศจีน
ชาวจีนจึงขอให้พ่อค้าอยุธยานำข้าวไปขายให้จีนโดยลดภาษีให้
นอกจากนี้อยุธยายังขายข้าวให้ฮอลันดา ฝรั่งเศส หัวเมืองมลายู มะละกา ชวา ปัตตาเวีย
ญวน เขมร มะละกา ลังกา และญี่ปุ่น
การค้ากับต่างประเทศจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจอยุธยา
ซึ่งนำความมั่งคั่งให้กลุ่มผู้ปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริย์ เจ้านาย
และขุนนางอย่างมหาศาล
3.
รายได้ของอยุธยา มาจาก
1)
รายได้ในระบบมูลนาย แรงงานจากไพร่ถือเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
รัฐบาลได้เกณฑ์ แรงงานจากไพร่ในระบบเข้าเดือนออกเดือน หรือปีละ 6 เดือน มาทำงานให้รัฐ เช่น การสร้างกำแพงเมือง ขุดคลอง สร้างวัด สร้างถนน
เป็นต้น ไพร่ที่ไม่ต้องการทำงานให้รัฐก็สามารถจ่ายสิ่งของที่รัฐต้องการ เช่น
มูลค้างคาว สินค้าป่า เรียกว่า "ส่วย" แทนการเกณฑ์แรงงานได้
ส่วยเหล่านี้รัฐจะนำไปเป็นสินค้าขายยังต่างประเทศต่อไป
2)
รายได้จากภาษีอากร ภาษีอากรในสมัยอยุธยา มีดังนี้
- ส่วย คือ สิ่งของหรือเงินที่ไพร่หลวงจ่ายให้รัฐทดแทนการถูกเกณฑ์มาทำงาน
โดยรัฐจะเป็นผู้กำหนดว่าท้องถิ่นใดจะส่งส่วยประเภทใด เช่น ส่วยดีบุก ส่วยรังนก
ส่วยไม้ฝาง ส่วยนอแรด ส่วยมูลค้างคาว เป็นต้น
- อากร คือ เงินที่เก็บจากผลประโยชน์ที่ราษฎรประกอบอาชีพได้ เช่น การทำนา
จะเสียอากรค่านา เรียกว่า "หางข้าว" ให้แก่รัฐ เพื่อรัฐจะได้เก็บไว้เป็นเสบียงอาหารสำหรับกองทัพ
ผู้ที่ทำสวนเสียอากรค่าสวนซึ่งคิดตามประเภทและจำนวนต้นไม้แต่ละชนิด
นอกจากนี้ยังรวมถึงการได้รับสิทธิจากรัฐบาลในการประกอบอาชีพ เช่น การอนุญาตให้ขุดแร่
การอนุญาตให้เก็บของป่า การอนุญาตให้จับปลาในน้ำ การอนุญาตให้ต้มกลั่นสุรา เป็นต้น
- จังกอบ คือ ค่าผ่านด่านขนอนทั้งทางบกและทางน้ำ
โดยเรียกเก็บตามยานพาหนะที่บรรทุกสินค้า เช่น
เรือสินค้าจะเก็บตามความกว้างของปากเรือตามอัตราที่กำหนด จึงเรียกว่า ภาษีปากเรือ
ส่วนพ่อค้าแม่ค้าในท้องถิ่นมักเก็บในอัตราสิบชักหนึ่ง
- ฤชา คือ เงินที่รัฐเรียกเก็บจากการให้บริการจากราษฎร เช่น การออกโฉนด
หรือเงินปรับไหมที่ผู้แพ้คดีต้องจ่ายให้ผู้ชนะ
เงินค่าธรรมเนียมนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เงินพินัยหลวง"
2)
รายได้จากต่างประเทศ ได้แก่ ผลกำไรจากการค้าเรือสำเภา
ภาษีสินค้าขาเข้าและสินค้าขาออก สิ่งของที่ได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิจีน
บรรณาการจากต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับอยุธยา
วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560
การค้าสมัยกรุงศรีอยุธยา
การค้าสมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มเมื่อปี พ.ศ. 1893 ตั้งแต่ปีที่พระเจ้าอู่ทอง
ทรงสร้างพระนครใหม่ แล้วทำการราชาภิเษก ทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี
ขนานนามราชธานี ว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา คำว่า ทวาราวดี
เอามาจากชื่ออาณาจักรเดิม คือ อาณาจักรทวาราวดี
อายุของกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี พ.ศ.1893
ถึง พ.ศ.2320 เป็นจำนวน 417
ปี
บ้านเมืองที่มีความเจริญและความเสื่อมจนกระทั่งสิ้นสูญการค้าขายของประเทศในช่วงนี้
มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์บ้านเมือง
โดยมีชาวยุโรปเข้ามาค้าขายอันมีวิธีค้าที่ทำใกล้บ้านเมืองต้องปรับปรุงลักษณะการค้าต่าง
ๆ เข้าหาเพื่อให้ทัดเทียมกันในเชิงการค้า ไม่ให้ชาวต่างชาติเอาเปรียบได้ง่าย ๆ
นอกจากนี้ ลักษณะการค้ากับชนชาวเอเชียด้วยกันเป็นอย่างหนึ่ง
ส่วนการค้ากับชาวยุโรปก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นิสัยไทยรักชาติ รักศาสนา รักอิสรภาพ
มองเห็นลักษณะการค้าของชนชาวยุโรปเป็นการเมืองไปบ้าง เป็นการศาสนาไปบ้าง ก็เลยทำให้การติดต่อค้าขายไม่ราบรื่น
ต้องชะงักหรือขาดตอนเป็นคราว ๆ ภาวะการค้าในระยะเวลา 417 ปี
ของสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงผิดแผกแตกต่างกัน และกรุงศรีอยุธยา ได้แบ่งออกเป็น 3
ตอน คือ
1.ตั้งแต่สมัยพระรามาธิบดีอู่ทอง จนถึงสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3
คือตั้งแต่ปี พ.ศ.1893- 2034 จัดเป็นตอนต้นของการค้าในสมัยกรุงศรีอยุธยา
เป็นการค้าแบบโบราณที่เป็นอย่างไทยแท้
2.ตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่2 จนถึงสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ตั้งแต่ปีพ.ศ.2034-2230จัดเป็นตอนกลางของการค้าในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นการค้าซึ่งมีอิทธิของชนชาวยุโรปเข้ามาเจือปน
เริ่มต้นตั้งแต่ชนชาติโปรตุเกส เข้ามาในแผ่นดิน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นครั้งแรก
3.ตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระเทพราชา จนถึง
เสียกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์
คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2231 -2310 จัดเป็นตอนปลายของการค้าในสมัยศรีอยุธยา
เป็นการค้าซึ่งอิทธิพลของชาวยุโรป คลายออกไป
เมื่อพระเจ้าอู่ทอง ตั้ง กรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นอิสระ
หัวเมืองฝ่ายใต้ที่เป็นราชอาณาเขตของกรุงสุโขทัยเดิม ได้เข้ามาขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยาทั้งหมด
นับตั้งแต่เมืองราชบุรี เพชรบุรีลงไปจนกระทั่งเมืองยะโฮร์ สุดแหลมมลายู
อาณาเขตทิศเหนืออยู่เพียงเมืองลพบุรี ติดต่อกับอาณาเขตสุโขทัย ส่วนทางตะวันออก
พระเจ้าอู่ทองได้ทำสงครามขยายอาณาเขต ตีได้นครทม ซึ่งเป็นราชธานีของเขมร
อาณากรุงศรีอยุธยาทางทิศตะวันออก
ในสมัยพระเจ้าอู่ทองจึงขยายออกไปประมาณเท่าที่อยู่ในเวลานี้
สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสมัยรุ่งเรือง ยุคหนึ่งของของประวัติศาสตร์ไทย
คนโบราณในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อพูดถึงความเจริญก็จะหมายถึง สมัยกรุงศรีอยุธยา “ครั้งบ้านเมืองดี” การค้าขายของประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางเป็นสมัยที่มีชาวยุโรปหลายชาติมาติดต่อค้าขายกับประเทศไทยเป็นครั้งแรก
ประวัติการค้าขายของไทยในระยะนี้จึงมีมาก โดยการค้าขายตั้งแต่ปี พ.ศ.2000 เป็นต้นมา มีจดหมายเหตุต่างประเทศพูดถึงมาก
ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา
ได้กล่าวถึงการค้าภายในประเทศไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก
การค้าต่างประเทศเป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่แยกกล่าวถึงการค้าภายในไว้เป็นส่วนหนึ่ง
เพื่อให้ทราบว่า ไทย แต่โบราณได้ทำการค้าขายโดยวิธีใด จะเป็นการค้าขายเหมือนในสมัยนี้หรือไม่
ซึ่งเราได้ทราบจากศิลาจารึก ว่า ไทยมีตลาดเป็นสาธารณะสำหรับการค้าขาย
โดยเฉพาะตลาดของเราเรียกว่า ปสาน ซึ่งนักปราชญ์ว่ามาจากคำ Bazaar ในภาษาเปอร์เซีย
ถ้าเรานึกภาพอย่างแขกไม่ออก ก็ให้คิดไปถึงตลาดสำเพ็งหรือสภาพตลาดสดที่หัวลำโพง
ในสมัยโบราณไทยมีตลาดจัดไว้เป็นประจำโดยเฉพาะมาแล้ว และเราได้ทราบจากจดหมายเก่า ๆ
ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ว่าการค้าขายของไทยมีชนิดทุนเดียว มีหุ้นส่วน มีบัญชี
มีขายเงินสด เงินเชื่อ มีลูกจ้าง ฯลฯ อย่างสมัยนี้แทบทุกอย่าง สรุปความว่า
ไทยมีวัฒนธรรมในการค้ามาแล้วตั้งแต่ สมัยโบราณดึกดำบรรพ์อย่างพร้อมมูล
ไทยไม่ได้ค้าแบบแลกเปลี่ยน Barter อันเป็นวิธีของมนุษย์ที่เพิ่งเริ่มเจริญนั้นอย่างเดียว
ไทยเป็นชาติมีวัฒนธรรมในการค้า โดยมีบทบัญญัติเป็นกฎหมายมาแล้วร่วม 700 ปี ลักษณะการค้าขายภายในคงเป็นอย่างที่กล่าวมานี้ตลอดไป
และก็การค้าภายในนั้นเมื่อมีการค้าต่างประเทศมากขึ้น ย่อมติดต่อเกี่ยวโยงกับการค้าต่างประเทศแน่นเข้าทุกที
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางมีชาวต่างประเทศเข้ามาทำการค้าขายหลายชาติ หลายภาษา
ต่างชาติได้นำสินค้าของประเทศตนเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกับสินค้าพื้นเมืองไทย
ทำให้การค้าภายในต้องหมุนอนุโลมตามการค้าต่างประเทศยิ่งขึ้นทุกที
ผ่านมาถึงช่วงที่การค้าของสมัยกรุงศรีอยุธยา ซบเซา
ปรากฏว่าการค้าที่เมืองต่าง ๆ
บนคาบสมุทรภาคใต้ยิ่งดำเนินไปเป็นปกติบางเมืองยิ่งมีการค้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ชาวต่างประเทศยังคงเดินทางมาค้าขายเป็นปกติ
บันทึกของชาวต่างประเทศและเอกสารของฝ่ายไทยกล่าวตรงกันว่าภาคใต้ของไทยเป็นทำเลการค้ากับต่างประเทศดีที่สุดในเอเชีย
หากได้มีการพัฒนาเส้นทางผ่านคาบสมุทรและมีท่าเรือที่ดี ก็จะเป็นทำเลการค้าของโลก
ดังที่ได้กล่าวถึงในหนังสือประวัติการค้าของไทยจัดพิมพ์โดยกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปี
พ.ศ.2486 ความตอนหนึ่งว่า “..........แม้นฮอลันดากับอังกฤษตลอดจน โปรตุเกส และ สเปญ
ต่างพากันหยุดการค้าขายในกรุงศรีอยุธยาไปชั่วคราวก็ตาม
แต่ชนชาติเหล่านั้นยังดำเนินการค้าขายในภาคตะวันออกไม่ทอดทิ้ง
อังกฤษแม้นจะถอนการค้าขาย จาก
กรุงศรีอยุธยา แต่ยังขอสิทธิการค้าในเมืองละคร(นครศรีธรรมราช)
ซึ่งฮอลันดาก็มีอยู่ตลอดจนเมืองสงขลา และปัตตานี ต่อไปอีก
แม้การค้าของไทยจะชงัก
ซึ่งเป็นไปตามการผันแปรเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์บ้านเมืองแต่ทำเลของไทยยังคงเป็นทำเลที่ดีที่สุด
และเหมาะกับการค้าขายของโลกเสมอไปโดยประเทศไทยมีเมืองเรียงรายอยู่ตามชายฝั่งทะเลทางด้านตะวันตก
ตะวันออกหน้านอกหน้าใน เป็นเมืองท่าเหมาะที่ทำการค้าขายได้ทั้งสองฝั่งสมุทร
อนึ่งฝั่งทะเลทั้งสองนี้ เชื่อมกันได้มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว เมืองตกโกลา (ตะกั่วป่า) ทางฝั่งตะวันตกทะเลหน้านอกเคยเชื่อมกับเมืองครหิ(ไชยา) ตลอดลงมาถึงบ้านดอน (สุราษฎร์ธานี
) ทางฝั่งตะวันออกทะเลหน้าใน
เมืองตรังทะเลหน้านอกเคยเชื่อมกับทะเลหน้าใน เช่น นครศรีธรรมราช และสงขลา
เมืองมะริด เคยเชื่อมกับเมืองประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี
ตามที่พวกพ่อค้าแขกฝรั่งไทยเคยขนสินค้าผ่านแต่โบราณเสมอมา” ตัวอย่างการขนสินค้าและการเดินทางบกจากฟากทะเลหนึ่งตัดข้ามคาบสมุทรไปยังอีกฟากหนึ่ง
เพื่อความรวดเร็วสะดวกมีมาแล้วเช่นนี้ ถ้าไทยพยายามให้ตะวันตกกับตะวันออก
ของไทยมาพบกัน เชื่อมกันได้หลาย ๆ แห่งให้สะดวกและรวดเร็วดั่งเช่นถนนสายตรัง-พัทลุงในปัจจุบัน
และทำเมืองท่าสองฝั่งให้ดีก็จะเป็นประโยชน์แก่การค้าของประเทศอย่างยิ่งใหญ่
การค้าระหว่างประเทศสมัยอยุธยา
การค้ากับต่างประเทศในสมัยอยุธยาตอนต้น
เป็นการค้ากับประเทศในเอเชีย ที่สำคัญได้แก่ การค้ากับจีน อาณาจักรในแหลมมลายู
หมู่เกาะชวา และประเทศทางมหาสมุทรอินเดีย เช่น อินเดีย ลังกา เปอร์เซีย และอาหรับ
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง การค้าทางตะวันออกได้ขยายจากจีนไปเกาหลี
ญี่ปุ่น ทางทะเลจีนใต้ขยายจากหมู่เกาะอินโดนีเซียไปยังหมู่เกาะฟิลิปปินส์
และเวียดนาม การค้าส่วนใหญ่เป็นการค้าทางเรือ ใช้เรือสำเภาเป็นพาหนะ
เมืองท่าที่สำคัญ คือ กรุงศรีอยุธยา นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี มะริด ทวาย
ตะนาวศรี และไทรบุรี ส่วนการขนส่งสินค้าจากเมืองท่าทางตะวันตกมายังกรุงศรีอยุธยา
และจากกรุงศรีอยุธยาไปเมืองท่าทางตะวันตกใช้เส้นทางบก
เพื่อจะได้ไม่ต้องอ้อมแหลมมลายู
การค้ากับชาติตะวันตก
ชาติตะวันตกเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 โดยโปรตุเกสเป็นชาติแรก
แต่การค้ากับชาติตะวันตกเริ่มขึ้นอย่างจริงจังและกว้างขวางในรัชสมัยสมเด็จพระเอกทศรถเป็นต้นไป
และถือว่าเจริญถึงขีดสุดในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อพ่อค้าชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยานั้น
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงให้การต้อนรับชาวตะวันตกอย่างดี กล่าวคือ
ทรงอนุญาตให้โปรตุเกสตั้งบ้านเรือน ห้างร้าน ค้าขายและเผยแพร่คริสต์ศาสนาได้
ซึ่งโปรตุเกสก็ตอบแทนโดยช่วยจัดหาปืน กระสุนดินดำให้
และยังเข้ารับราชการในกองอาสาปืนไฟถึง 300 คน
นอกจากชาวโปรตุเกสแล้วชาวตะวันตกชาติอื่นที่เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา
ได้แก่ สเปน ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส
พ่อค้าชาวยุโรปที่เข้ามาติดต่อในครั้งนั้น
เข้าในรูปของบริษัทการค้า เช่น บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา
บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ บริษัทอินเดียตะวันออกของ ฝรั่งเศส เป็นต้น
ชาวตะวันตกเหล่านี้เข้ามาตั้งห้างค้าขายทั้งในเขตกรุงศรีอยุธยา
และเมืองท่าชายทะเลอื่น ๆ ของไทย เช่น นครศรีธรรมราช ปัตตานี สงขลา และมะริด
เป็นต้น
ในบรรดาพ่อค้าตะวันตกที่เข้ามาติดต่อ
ค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาในช่วงนั้น พ่อค้าฮอลันดามีอิทธิพลมากที่สุด
การค้าของชาติตะวันตกเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับจนถึงรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.
2165) จึงซบเซาลง ห้างของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา
และบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษถึงกับปิดกิจการลงในปี พ.ศ.
2165 และ พ.ศ. 2167 ตามลำดับ
จนถึงรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองจึงได้มีการฟื้นฟูการค้ากับชาติตะวันตกขึ้นอีก
ในช่วงนี้ทาง กรุงศรีอยุธยายอมอนุญาตให้ฮอลันดาผูกขาดการค้าสินค้า 2 ประเภท คือ หนังกวางและไม้ฝาง
ฮอลันดากลายเป็นชาติที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของกรุงศรีอยุธยา
ทั้งยังเข้าคุมการค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยากับญี่ปุ่นอีก
ทำให้กรุงศรีอยุธยาไม่ได้รับประโยชน์จากการค้าเท่าที่ควร
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงทรงหาทางแก้ไข โดยการหาตลาดใหม่ทางอินเดีย
แถบชายฝั่งโคโรแมนเดิล และเมืองกัลกัตตา
นอกจากนั้นยังทรงบัญญัติประเภทของสินค้าต้องห้ามเพิ่มเติม (สินค้าต้องห้ามคือ
สินค้าที่ต้องซื้อขายผ่านพระคลังสินค้าของรัฐบาล) ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ฮอลันดาพยายามบีบบังคับกรุงศรีอยุธยาในเรื่องการค้ากับญี่ปุ่นจนกลายเป็นกรณีพิพาทขึ้น
แต่ในที่สุดก็ยุติลงด้วยการทำสนธิสัญญา 11 สิงหาคม พ.ศ. 2207
การค้ากับต่างประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มเสื่อมโทรมลง
เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระเพทราชาทรงขับไล่ชาวตะวันตกรวมทั้งพ่อค้าฝรั่งเศสออกไป ส่วนพ่อค้าอังกฤษ
และฮอลันดาไม่ค่อยได้ติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยามาตั้งแต่ฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพล
ดังนั้นการค้ากับต่างประเทศจึงเสื่อมโทรมลง
สินค้าขาเข้าที่กรุงศรีอยุธยาต้องการมี 2 ประเภท คือ
สินค้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของอาณาจักร ได้แก่ พวกอาวุธปืนกระสุนดินดำ
และสินค้าที่ทางรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า จะทำกำไร ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าลาย
เครื่องถ้วยชาม และเครื่องกระเบื้อง ผู้ซื้อสินค้าเหล่านี้ คือ พระมหากษัตริย์
เจ้านาย และขุนนาง
สินค้าออก
สินค้าออกของราชอาณาจักรอยุธยาขายผ่านพระคลังสินค้า
ทั้งนี้เพราะสินค้าพื้นเมืองบางชนิดเป็นที่ต้องการของชาวต่างประเทศมาก
หากปล่อยให้ซื้อขายกันโดยเสรีเกรงว่าของเหล่านั้นจะหมดสิ้นไป ไม่มีใช้ในราชการบ้านเมือง
จึงกำหนดให้เป็นสินค้าต้องห้าม ต้องซื้อขายผ่านพระคลังสินค้า เช่น ไม้กฤษณา นอแรด
ดีบุก งาช้าง ไม้จันทน์ ไม้หอม และไม้ฝาง เป็นต้น
สินค้าต้องห้ามนี้เพิ่มประเภทขึ้นโดยลำดับ เช่น ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง
สินค้าต้องห้าม เช่น ดินประสิว ตะกั่ว ฝาง หมากสง หนังสัตว์ เนื้อไม้ งาช้าง ดีบุก
ไม้หอม เป็นต้น
สินค้าที่ชาวต่างประเทศต้องการมากอีกอย่างหนึ่ง
คือ ข้าว ตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ข้าวกลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญ
โดยส่งไปประเทศจีนไม่น้อยกว่าปีละ 65,000 หาบ บางปีส่งไปหลายแสนหาบ และบางปีถึง 1 ล้าน 5 แสนหาบ
การค้ากับชาติตะวันออก
ประเทศจีน
ประเทศทางตะวันออกที่ทำการค้าขายด้วยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
คือ ประเทศจีน ในสมัยอยุธยาตอนต้นนั้น อยุธยาได้ส่งราชทูตไปเมืองจีนถึง 70
ครั้ง การส่งทูตไปในครั้งนั้นจะมีการแต่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนด้วย
การกระทำดังกล่าวได้ประโยชน์มาก กล่าวคือ
ไม่เพียงแต่จะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีต่อกันแล้ว
ยังนำผลประโยชน์ทางด้านการค้ามาให้อยุธยาด้วย
เพราะเมื่อส่งเครื่องราชบรรณาการไปครั้งใด
ก็จะได้สิ่งของตอบแทนตลอดจนสิทธิพิเศษทางการค้า ซึ่งเมื่อรวมค่าแล้วมากกว่าบรรณาการของของที่ส่งไป
จากผลประโยชน์ที่ได้รับดังกล่าวเป็นเหตุให้พ่อค้าเอกชนบางคนคิดปลอมเครื่องราชบรรณาการส่งไปถวายพระจักรพรรดิ์จีน
แต่ในที่สุดเมื่อทางการจีนจับได้
จึงกำหนดให้เรือราชทูตไทยนำเครื่องราชบรรณาการไปกรุงปักกิ่งได้เพียงสามลำเท่านั้น นอกนั้นให้จอดอยู่ที่กวางตุ้ง
และให้ส่งเครื่องราชบรรณาการเพียงสามปีต่อครั้งประเพณีนี้เรียกว่า "จิ้มก้อง" ซึ่งรัฐบาลอยุธยาต้องถือปฏิบัติต่อพระจักรพรรดิ์จีนแต่นั้นมา
สินค้าที่ไทยนำไปขายยังประเทศจีนในระยะนั้น
ได้แก่ อำพันทองไม้หอมต่าง ๆ เนื้อไม้กฤษณา หลอฮก (เครื่องยา) กระวาน กานพลู พริกไทย ไม้ต่าง ๆ เช่น
ไม้แก่นดำ ไม้ฝาง ทองคำ เงิน พลอยต่าง ๆ ตะกั่ว งาช้าง นอระมาด หอระดาน
หนังเสือลายต่าง ๆ ชะมด เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา ผ้าบางชนิด ฝ้าย น้ำตาล
ข้าว ช้าง นกยูง นกแก้ว (5สี)
ประเทศญี่ปุ่น
การค้าขายกับประเทศญี่ปุ่นในสมัยอยุธยานั้น
อาจกล่าวได้ว่าไทยได้ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการค้ากับประเทศจีน
มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า มีการติดต่อกันในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ
และในเอกสารของญี่ปุ่นได้กล่าวว่า ใน พ.ศ. 2106 มีเรือจากไทยหลายลำไปค้าขายที่ญี่ปุ่น
ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถก็มีการแลกเปลี่ยน พระราชสาส์นแสดงไมตรีกับโชกุน อิเอยาสุ
ซึ่งทางโชกุนได้แต่งทูตพร้อมเครื่องราชบรรณาการมาถวาย
และอนุญาตให้เรือสำเภาไทยมาค้าขายที่ญี่ปุ่นโดยเสรี
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นดำเนินการมาด้วยดีเรื่อยมา
และทำกำไรให้รัฐบาลไทยอย่างมาก และไทยอยู่ในฐานะได้เปรียบดุลย์กาค้ามาตลอดจนถึงสมัยของพระเจ้าปราสาททอง
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นทั้งทางไมตรีและการค้าเสื่อมลงไป
เพราะมีการกวาดต้อนและขับไล่ญี่ปุ่นครั้งใหญ่ตั้งแต่ พ.ศ. 2173 ถึง พ.ศ. 2175 ทั้งนี้เนื่องจากทรงเกรงกลัวอำนาจของญี่ปุ่น จนกระทั่งในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
ฯ การค้าทางเรือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นก็กระเตื้องขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
สินค้าที่ไทยบรรทุกลงในเรือสำเภาไปค้าขายที่ญี่ปุ่นมี
เหรียญเงิน หนังสัตว์ เขาสัตว์ เครื่องถ้วยชาม เครื่องสังคโลก ข้าว ไหมผ้าดิบ
ผ้าไหม ไม้แดง ไม้สวาดิ ไม้ฝาง ไม้กฤษณา ไม้จันทร์หอม งาช้าง ช้าง ฟันช้าง ผ้าต่วน
ผ้าเปลือกไม้ หนังแผ่นดิบ รัก ตะกั่ว ดีบุก หวาย หมาก การบูร พริกไทย หินฝนหมึก
น้ำตาลดำ ครั่ง กำยาน ไม้สัก น้ำมะพร้าว
นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่ไทยนำมาจากจีนแล้วเอาไปขายที่ญี่ปุ่นด้วยส่วนสินค้าที่ไทยซื้อจากญี่ปุ่นก็มี
ทองคำ ทองรูปพรรณ ทองแดง ฉากญี่ปุ่น เหรียญญี่ปุ่น ตู้ลายรดน้ำ เครื่องกระเบื้อง
ใบชา ภาชนะทำด้วยไม้ ภาชนะทำด้วยเงิน ภาชนะทำด้วยทองแดง เหล็กแท่ง เงินแท่ง
น้ำมันชักเงา ผ้าแพรหนังไก่ ผ้าแพรต่วน ผ้าถัก ผ้าลูกไม้ เครื่องลายคราม และม้า
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
-
การค้าสมัยกรุงศรีอยุธยา การค้าสมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มเมื่อปี พ . ศ . 1893 ตั้งแต่ปีที่พระเจ้าอู่ทอง ทรงสร้างพระนครใหม่...
-
ความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง การมีแหล่งน้ำจำนวนมาก ดินมีความอุดมสมบูรณ์เพราะเกิดจากการทับถมของดินตะกอนแม่น้ำ ซ...
-
กรุงศรีอยุธยาก่อกำเนิดขึ้นเป็น ราชธานีในปี พ.ศ.1893 แต่มีข้อถกเถียงกันมากว่า การถือกำเนิดของกรุง ศรีอยุธยานั้น มิได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทัน...






